ในขณะดื่มกินนั้น จงกลับกลายเป็นรสชาติแห่งอาหารเครื่องดื่ม แลบรรลุถึงความเต็มเปี่ยม พวกเรารับประทานสิ่งต่างๆไม่หยุดหย่อน เราอยู่ไม่ได้หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ ทว่าเราบริโภคสิ่งเหล่านี้โดยไร้สติเป็นอัตโนมัติเสมือนหุ่นยนต์ไม่ผิดเพี้ยน หากการสัมผัสรู้รสจืดจางเสียแล้ว เธอก็เพียงแค่รับประทานไปลวกๆให้อิ่มท้อง จงไปช้าๆ และตระหนักถึงรสชาติ เธอจะตระหนักได้ก็ต่อเมื่อเธอค่อยๆไปช้าๆ อย่ามุ่งแต่กลืนกินสิ่งต่างๆ ลงคอถ่ายเดียว ค่อยๆลิ้มลองรสชาติไปโดยไม่เร่งร้อนและกลับกลายเป็นรสชาตินั้น ยามเธอรู้สึกถึงความหอมหวาน จงกลับกลายเป็นคำหอมหวน และแล้วมันจะสามารถรู้สึกไปได้ทั่วร่างกายทีเดียว ไม่เฉพาะในปาก ไม่เฉพาะบนแผ่นลิ้นมัน สามารถรู้สึกไปได้ตลอดร่างกาย ความหอมหวานบางอย่างกำลังแผ่ลามไปเป็นละลอก หรือสิ่งอื่นใดก็ตามแต่ ไม่ว่าเธอกำลังรับประทานสิ่งใด จงรู้สึกถึงรสชาติและกลับกลายเป็นรสชาตินั้น
นี่คือรูปแบบที่ทำให้ตันตระ ดูผิดแผกไปจากจารีตอื่นๆด้วยเช่นสิ้นเชิง ศาสนาเชนกล่าวว่า”ไร้รสหรือสวาท(ASWAD)” ท่านมหาตมะคานธี ยึดถือสิ่งนี้เป็นหลักวินัยในอาศรมของท่านทีเดียว
” อสวาท จงอย่าลิ้มรสสิ่งใด จงรับประทาน ทว่าอย่าได้ลิ้มลองรสชาติ จงลืมรสชาติไปเสีย การรับประทานนั้นเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่ง ทว่าจงกระทำในลักษณะกลไก รสชาติคือความปรารถนาฉะนั้น อย่าได้ลิ้มรส” ตันตระกล่าวว่าจงลิ้มรสให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จงมีสัมผัสเฉียบไว มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น และไม่เพียงมีสัมผัสเฉียบไวเท่านั้น จงกลับกลายเป็นรสชาตินั้น
ด้วยอสวาท ด้วยการไม่ลิ้มรส ประสาทสัมผัสของเธอจะถูกทำให้ด้านชา มันจะยิ่งลดทอนความเฉียบไวในการรับรู้ลงทุกขณะ และความเฉียขไวที่ลดลง เป็นผลให้เธอไม่สามารถรู้สึกถึงร่างกายตนเอง ไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกของตนเองได้ เมื่อนั้นเธอจะยังคงรวมศูนย์อยู่ในบริเวณศีรษะเช่นเดิม การรวมศูนย์อยู่ในบริเวณศีรษะเช่นนี้คืออาการแตกแยก ตันตระ กล่าวว่าอย่าได้สร้างเส้นแบ่งคั่นใดๆ ขึ้นภายในตัวเธอมันเป็นความงดงามที่จะลิ้มรส เป็นความงดงามในการมีสัมผัสที่เฉียบไว และหากเธอมีสัมผัสเฉียบไวขึ้นเธอก็จะยิ่งคึกคักกระฉับกระเฉง และหากเธอยิ่งคึกคักกระฉับกระเฉง พลังชีวิตที่มีมากกว่าเดิมจะแทรกซ้อนเข้าสู่ภาวะด้านในของเธอ เธอจะมีลักษณะเปิดรับยิ่งขึ้น
เธอสามารถรับประทานสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ลิ้มรส นั่นไม่ใช่เรื่องยาก เราสามารถแตะเนื้อต้องตัวใครบางคนโดยไม่สัมผัสได้ นั้นไม่ใช่เรื่องยาก พวกเราการกระทำเช่นนั้นอยู่แล้ว เธออาจสัมผัสมือกับผู้คนโดยไม่สัมผัสเขา เพราะการจะสัมผัสนั้น เธอจะต้องแผ่พุ่งความรู้สึกไปถึงมือ มุ่งความรู้สึกไปที่มือ เธอจะต้องกลับกลายเป็นนิ้วมือและฝ่ามือ ประหนึ่งว่าตัวเธอหรือวิญญาณเธอนั้นได้แผ่ไปถึงมือ นั่นแหละเธอจึงจะสัมผัสได้ เธอสามารถกุมมือใครซักคนไว้แล้วรั้งตัวเองออกมา เธอสามารถปลีกตัวออกมาได้ ถึงเวลานั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ก็คือมือที่แข็งกระด้าง มันดูเหมือนสัมผัสกันทว่าหาได้สัมผัสไม่
พวกเราหาได้สัมผัสกันไม่ เรากลัวที่จะสัมผัสใครบางคนเพราะการสัมผัสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางกามารมณ์ไปเสียแล้ว เธออาจจะกำลังยืนอยู่ในฝูงชน ในรถราง ในตู้รถไฟ แตะต้องสัมผัสผู้คนมากหลายทว่าหาได้สัมผัสคนเหล่านั้นไม่ และคนเหล่านั้นก็มิได้สัมผัสเธอ มีเฉพาะร่างกายเท่านั้นที่กระทบกระทั่งกันทว่าเธอรั้งดึงตัวเองออกมา เธอสามารถรู้สึกถึงข้อแตกต่างได้ หากเธอสัมผัสถูกใครคนหนึ่งในฝูงชนจริงๆแล้ว เขาจะรู้สึกขุ่นเคือง ร่างกายเธอสามารถกระทบถูกกันได้ทว่าเธอจะต้องไม่ก้าวล่วงเข้าไปในร่างกายนั้น เธอจะต้องคงความห่างเหินไว้เสมือนมิได้อยู่ในร่างกายประหนึ่งว่ามีเพียงร่างที่แข็งทื่อกระทบถูกกันเท่านั้น
ความรู้สึกเย็นชาเช่นนี้เป็นสิ่งเลวร้าย มันเป็นสิ่งเลวร้ายเพราะเธอปกป้องตัวเธอเองจากชีวิต เธอช่างหวาดกลัวความตายเหลือเกิน ทั้งที่เธอก็ตายอยู่แล้ว เธอไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวจริงๆหรอกเพราะจะไม่มีใครตายทั้งสิ้น เธอเองก็ตายอยู่แล้ว และนั่นแหละคือสาเหตุที่เธอหวาดกลัวเพราะเธอหาได้มีชีวิตอยู่ไม่ เธอได้คลาดหลงจากชีวิตและความตายก็ปรากฏขึ้น
บุคคลที่”มีชีวิตชีวา” จะไม่หวาดกลัวความตาย เพราะเขามีชีวิตอยู่ เมื่อใดที่เธอมีชีวิตอยู่จริงๆแล้วย่อมไม่นึกพรั่นความตาย เธอสามารถมีชีวิตอยู่ในความตาย เมื่อความตายมาถึงตัว เธอจะรับรู้ได้ฉับไวกระทั่งเพลิดเพลินไปกับมัน มันจะกลายเป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ หากเธอมีชีวิตชีวา เธอจะมีชีวิตอยู่ในความตาย เมื่อนั้นความตายย่อมไม่มีอยู่อีกต่อไป หากเธออาจมีชีวิตอยู่แม้ในความตาย หากเธอรับรู้ได้ฉับไวแม้ต่อร่างที่ใกล้ดับของเธอ ขณะที่เธอถอนกลับมาสู่จุดศูนย์กลางแล้วค่อยๆ สลายเลือนไป หากเธอมีชีวิตอยู่ได้ถึงขั้นนี้ เมื่อนั้น เธอย่อมกลายเป็นอมตะ
“ในยามดื่มกินนั้น จงกลับกลายเป็นรสชาติแห่งอาหารหรือเครื่องดื่ม แลบรรลุถึงความเต็มเปี่ยม”ในขณะดื่มน้ำ ให้รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำ จงหลับตาลงแล้วค่อยๆ ดื่มละเลียดรสชาติมันไปช้าๆ จงรู้สึกถึงความเย็นฉ่ำ และรู้สึกว่าเธอได้กลายเป็นความเย็นฉ่ำนั้น เพราะความเย็นฉ่ำได้ถูกถ่ายโอนจากน้ำมาสู่เธอ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอ ปากของเธอได้แตะลิ้ม ลิ้นของเธอได้สัมผัสแล้วความเย็นฉ่ำก็ถูกส่งผ่านมา จงปล่อยให้มันมันเกิดขึ้นทั่วสรีระของเธอ ปล่อยให้ระลอกคลื่นของมันแผ่กระจายไปทั่ว แล้วเธอจะรู้สึกถึงความเย็นฉ่ำทั่วร่างกาย สัมผัสอันเฉียบไวของเธอจะงอกงามขึ้น ได้ในวิถีเช่นนี้ และเธอจะยิ่งทวีความกระฉับกระเฉงและเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้น
พวกเราต่างก็มีสภาพอับจนท้อแท้ มีความรู้สึกล่องลอยว่างเปล่า พวกเราพูดพร่ำไม่หยุดปากว่าชีวิตเป็นสิ่งว่างเปล่า ทว่าพวกเราคือสาเหตุหลักที่ทำให้มันว่างเปล่า พวกเราไม่เติมชีวิตให้เต็มเปี่ยม และไม่ยอมให้สิ่งใดมาเสริมเติมความว่างเปล่าแก่ชีวิต พวกเรามีเกราะอยู่รอบตัว เกราะพิทักษ์กาย พวกเรากลัวจะถูกจู่โจมจุดอ่อน ด้วยเหตุนี้ เราจึงคอยระวังตั้งรับทุกสิ่งทุกอย่าง ครั้นแล้วพวกเราก็กลายเป็นสุสาน เป็นสิ่งที่ตายด้านปราศจากชีวิต
ตันตระกล่าวว่าจงกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น เพราะชีวิตคือพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าองค์อื่นอีกแล้วนอกเสียจากชีวิต จงมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น แล้วเธอจะยิ่งได้รับการประสาทพรจากสรวงสวรรค์ จงมีชีวิตชีวาเต็มที่ แล้วจะไม่มีความตายสำหรับเธอ
โปรดติดตาม พระสูตรต่อไป ที่นี่
คัมภีร์แห่งความเร้นลับ 3
The book of the secrets
( หน้า 28-32 )
Sabaidee Journey Quote No.14
#sabaideejourneyquote
............................................................................................
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมติดตามที่
Facebook Group : Sabaidee Spiritual
.
https://web.facebook.com/groups/496920240982782/
.
ติดตามเราได้ตามช่องทางต่างๆ
Website : http://sabaideesuccess.com/
Youtube Chanel : https://www.youtube.com/channel/UCJvjDwHutZkoTTeR-6XG7xw
Facebook Fanpage : fb.me/SabaideeSuccess